คุณจะรวยหรือจนขึ้นอยู่กับว่าทุกครั้งที่มีรายได้เข้ากระเป๋า คุณเลือกจัดการกับมันอย่างไร

 27 ก.ย. 2564 20:21 น.    เข้าชม 969    Managing Yourself
คุณจะรวยหรือจนขึ้นอยู่กับว่าทุกครั้งที่มีรายได้เข้ากระเป๋า คุณเลือกจัดการกับมันอย่างไร

หลังจากแวบแรก ที่ได้เห็น ชื่อหนังสือ นั่นคือ  Money 101 ซึ่งมีคำพูดเป็นประโยคสั้นๆ อยู่ใต้ชื่อหนังสือว่า “เริ่มต้นนับหนึ่งสู่ชีวิตการเงินอุดมสุข”

 

หนังสือเล่มนี้ หากเป็นเท้า ก็ถือได้ว่า ได้เตะก้านคอของผม ดังป้าบ เลยทีเดียว

 

นี่แหละ คำพูดประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึก เหมือน ถูกเตะก้านคอ เพราะอะไร รู้ไหม เพราะว่า หากหนังสือเล่มนี้ เขียนขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มตอนปลายๆ ประมาณสามสิบเศษๆ

ผมคงไม่ต้องเผชิญกับประสบการณ์ การเป็นหนี้เป็นสิน ที่ทำเอาชีวิตผม ย่ำแย่นับสิบปี

 

แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมจัดการกับมันได้แล้ว เจ้าปัญหาเหล่านั้น

 

เอาล่ะ ย้อนกลับมาที่หนังสือ “Money 101” กันดีกว่า หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาโดย คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ The Money Coach หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือ Bestseller ที่พิมพ์ครั้งที่ 11 แล้ว

 

ผมบอกเลยว่าหากใครที่ต้องการจะเรื่องรู้เรื่องการเงินส่วนบุคคล หรือ เรียกให้หรูๆ ว่า “Personal Finance” หนังสือเล่มนี้ เหมาะมาก โดยเฉพาคนที่ต้องการจัดการกับหนี้สิน หรือแม้กระทั่ง คนที่ต้องการทำการเงินของตนที่ดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก

 

เอาล่ะเรามาเริ่มกันเลย

 

หนังสือ “Money 101” มีด้วยกัน 16 บท ครับ และปิดท้ายด้วยหนังสือแนะนำ และประวัติผู้เขียน

 

บทนำ

 

สิ่งที่โดนใจผม ในบทนำของหนังสือ Money 101 ก็คือ เราจะใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่มาช่วยในการสร้างรายได้อย่างไร และลดหนี้ได้อย่างไร หรือ พูดง่ายๆ ว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องการเงิน ไม่ใช่การแก้ด้วย “ตัวเงิน” แต่ต้องแก้ด้วย “ความรู้ทางการเงิน” หรือ Money Literacy”

 

ผู้เขียนมองว่า เรื่องการบริหารเงินส่วนบุคคล มันเป็นสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน

ไม่มีการเรียนการสอนกันในโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการต้องไปเผชิญกับปัญหาทางด้านการเงิน ซึ่งผู้เขียนมีประสบการณ์จากปัญหาที่ทางบ้านต้องประสบกับเรื่องหนี้สิน ทำให้เขาต้องแก้ปัญหาและเรียนรู้วิธีการบริหารเรื่องเงิน จนในที่สุดทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินส่วนบุคคลในระดับประเทศไปเลย

 

สำหรับความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ มีด้วยกัน 4 เรื่อง ได้แก่ การสร้างรายได้ที่เลี้ยงตัวพอได้,​ การจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม, การออม เพื่อสะสมไว้เพื่อวันข้างหน้า และ การลงทุนต่อยอด เพื่อสร้างทรัพย์สินให้เพิ่มพูนขึ้น และกลายเป็นความมั่นคั่งให้กับตนเอง

 

หาเอาแบบจำง่ายๆ ก็คือ “หาได้ ใช้เหลือ เผื่อออม และต่อยอดให้งอกเงย”

บทที่หนึ่งการเงินง่ายเมื่อเข้าใจชีวิต

 

ผู้เขียนเปิดประเด็นในบทที่ 1 ได้อย่างกระแทกใจผมมาก ผ่านคำถามที่ถามว่า “คำจำกัดความของความรวยของคุณคืออะไร”

 

คำจำกัดความของคำว่า “ความรวย” ของคนแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ตัวตนลึกๆ ที่อยู่ในแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดคำจำกัดความของคำว่า “รวย” ของคนๆ นั้น

 

และที่สำคัญที่สุด คำจำกัดความของคำว่า “รวย” ของแต่ละคน มันคือหางเสือที่จะนำพาชีวิตเราให้ไปพบกับความรวยเหล่านั้น

 

“ความรวย” ในแบบที่สอดคล้องกับตัวตนของคนนั้นๆ จะทำให้คนๆ นั้นมี “ความสุข” ในชีวิตอย่างแท้จริง

 

ผู้เขียนนำเสนอสมการความสุขง่ายๆ คือ ความต้องการที่แท้จริงในชีวิตคืออะไร นำไปสู่ เป้าหมายทางการเงิน และเป้าหมายนำไปสู่ Action Plan หรือ แผนที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข

 

บทที่สองสองคำศัพท์สำคัญในโลกการเงิน

 

สมัยผมเด็กๆ แม่ผมซึ่งเป็นแม่ค้าชอบพูดคำว่า “ช่วงนี้เงินขาดมือ” กับคำว่า “เงินฝากในธนาคารหร่อยหลอลงทุกวัน” ใช่ครับ มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้ว จิตใจไม่ค่อยโสภาสถาพรเท่าไหร่

 

ในบทที่ 2 ของหนังสือ Money 101 ก็พูดสิ่งเดียวที่แม่ผมเคยพูดตัวสมัยผมเด็กๆ นั่นคือ คำว่า สภาพคล่อง และ ความมั่งคั่ง

 

คนเราจะสบายใจ หากเรามีเงินใช้ไม่ขาดมือ หรือ มีสภาพคล่อง คือแบบว่า เงินเข้ามาร้อย ต้องเหลือเก็บอย่างน้อยสิบ อะไรประมาณนั้น ถ้าหากหาเงินได้ร้อย แต่ใช้ร้อยยี่สิบ แบบนี้ชีวิตติดลบ แน่นอน

 

ถ้าเข้าร้อย แล้วเก็บสิบ แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นับวันเงินก็ยิ่งเยอะขึ้น มากขึ้น แบบนี้เขาเรียกว่า มั่งคั่งครับ

 

หากท่านมีสภาพคล่องที่ดี และทำมันได้อย่างต่อเนื่อง ท่านรวยแน่นอน

 

บทที่สามงบการเงินส่วนบุคคล

 

หากในทุกๆ วัน และทุกๆ เดือน เมื่อท่านได้เงินมาเท่าไหร่ ท่านออม หรือ เก็บก่อนเลย อาจจะเป็น 5 % หรือ 10% ที่เหลือจากนั้น ก็เอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เงินที่เหลือจะนำไปบวกกับเงินที่ท่านออมไว้ นี่ก็จะเป็นเงินคงเหลือในเดือนนั้น หรือ พูดง่ายๆ ว่า นี่คือ “สภาพคล่อง” ของท่าน ในเดือนนั้น เราจะเรียกสิ่งนี้ ว่า “งบรายรับ-รายจ่าย”

 

ท่านอาจจะนำเงินที่ท่านมีอยู่ รวมทั้งทรัพย์สินท่านหามาได้ก่อนหน้านั้น และในขณะเดียวกันการได้มาของทรัพย์สินบางอย่างอาจจะจำเป็นต้องก่อหนี้ จำนวนทรัพย์สิน และหนี้สินที่ท่านมีอยู่ เราจะเรียกมันว่า “สถานะการเงิน”

 

หากมีทรัพย์สินอยู่เยอะ ก็ดีไป แต่หากมีหนี้สินเยอะ หรือ ที่เรียกว่า “หนี้ท่วมหัว” ชีวิตคงไม่ดีแน่

 

บทที่สี่เป้าหมายแรกของการออม

 

ก่อนจะคิดลงทุนอะไร ถามตัวเองก่อนว่า มีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินหรือยัง

 

นี่คือ คำถามกระแทกต่อมความอยากของคนที่อยากๆๆๆ จะลงทุน

 

ใช่เลยครับ ผู้เขียน ต้องการจะบอกว่า ก่อนจะคิดลงทุน คุณควรจะคิดเรื่อง “การออม” เสียก่อน

 

และ การออม แบบมืออาชีพ ซึ่งจะต้องเป็นการออมที่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ออมไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ออมไว้ใช้หลังเกษียณ​ หรือ วัตถุประสงค์อื่นๆ

 

สุดท้าย ผู้เขียนต้องการสื่อว่า ชีวิตกับความเสี่ยง มันเป็นเรื่องคู่กัน การออมอย่างมืออาชีพ คือ เครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

 

บทที่ห้าการไม่มีหนี้ก็คือลาภอันประเสริฐ

 

หนี้ มีสองอย่าง คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (หนี้จน) กับ หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ (หนี้รวย)

 

ดังนั้น คำว่า “หนี้” ในบทที่ 5 นี้ หมายถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้ที่เกิดจากความอยาก หรือ หนี้จนนั่นเอง

 

คนเราส่วนใหญ่เวลาอยากได้อะไร ก็จะให้เหตุผลร้อยแปดพันประการว่า สิ่งนี้จำเป็น สิ่งนั้นจำเป็น และนี่นำไปสู่การก่อหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ และทำให้ชีวิตคนมากมายต้องพัง ซึ่งในอดีตผมก็คือหนึ่งในนั้น

 

ผู้เขียนได้สรุป สาเหตุที่ทำให้คนเกิดหนี้จน ได้แก่ หนึ่ง การใช้จ่ายเกินตัว, สอง ช่วยเหลือผู้อื่นแบบเกินกำลังตนเอง และ สาม การลงทุนที่ผิดพลาด

 

บทที่หกฝันอยากได้อะไรต้องมีแผนรองรับ

 

คนเราทุกมีความฝันที่อยากได้ อยากมี แต่ถ้าหากความอยากได้ อยากมี นั้น ไม่มีแผนรองรับ มีโอกาสสูงมากที่ชีวิตจะทุกข์สุดๆ

 

ดังนั้น ไม่ผิด ที่จะมีความฝัน อยากได้ อยากมี แต่ถ้าจะให้ดี ต้องมีแผนรองรับ ชีวิตก็จะไม่ทุกข์

 

ผู้เขียนแนะนำคำถามในการถามตนเองต่อไปนี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนความอยากได้ อยากมี ให้เป็นหนี้สิน

 

คำถามแรก คือ มีความจำเป็นในการซื้อ และความเหมาะสมในการใช้งาน เช่น เวลาอยากได้รถ ให้ถามตนเองว่า ทำไมถึงต้องซื้อรถยนต์เป็นของตนเอง” เป็นต้น

 

คำถามที่สอง เมื่อซื้อแล้ว มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ เพราะหากมีรถขับอย่างเท่ห์ แต่ไม่มีจะกินในแต่ละวัน ชีวิตคงไม่โสภาแน่นอน

บทที่เจ็ดวางแผนรับมือกับเรื่องเลวร้าย

 

มีคำกล่าวคำหนึ่ง กล่าวว่า “ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน”

 

สรุปง่ายๆ คือ เหตุการณ์ในชีวิตของคนเรา มีบางเหตุการณ์ที่อยู่ในความควบคุมของเรา แต่ก็มีเหตุการณ์อีกมากมายที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ร้ายๆ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย อุบัติเหตุ เศรษฐฺกิจตกต่ำ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

แน่นอนไม่มีใครต้องการให้เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้น แต่หากมันเกิดขึ้น เราก็ต้องจัดการได้ หากเราเตรียมรับมือกับมันไว้ล่วงหน้า ยกตัวอย่างเช่น การทำประกันชีวิต ในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น

 

บทที่แปดภาษีให้เป็น

 

เมื่อเราทำงาน หรือ ทำธุรกิจ เราก็ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ

 

หากรายได้เราน้อย ก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่หากเรามีรายได้ค่อนข้างมาก เราต้องรู้จักวางแผนภาษี

.

เพราะทางเราไม่วางแผนดีๆ เราจะเสียภาษีเป็นจำนวนมาก แบบว่าทำมาแทบตาย แต่ภาษีกินหมด

 

ดังนั้นต้องศึกษาเรื่องภาษีเงินได้ให้ดี และวางแผนเรื่องภาษีให้ดี โดยสาระสำคัญของการวางแผนภาษี มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง คือ หนึ่ง วางแผนจัดระบบรายได้ สอง วางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายให้สามารถนำไปหักภาษีได้ และ สาม ใช้ประโยชน์จากค่าลดหย่อนให้เหมาะสม

 

บทที่เก้าวางแผนเกษียณรวย

 

สำหรับท่านที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือ เป็นข้าราชการ แน่นอนย่อมต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบคนที่มั่งคั่ง คือ แบบว่ามีเงินไม่ขาดมือ และ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “เกษียณรวย”

 

ผู้เขียนแนะนำว่า หากท่านต้องการ “เกษียณรวย” ท่านต้องสร้าง “สภาพคล่อง” คือ มีเงินสดที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และ ท่านต้องสร้าง “อิสระทางการเงิน” ให้ได้ก่อนถึงวันเกษียณ

 

การสร้าง “สภาพคล่อง” ให้ดูคำแนะนำในบทก่อนหน้านี้ สำหรับการสร้าง “อิสระทางการเงิน” นั้นก็คือ การใช้การออม (ออม 5% หรือ ตามกำลังของรายได้) และการลงทุนระยะยาว โดยวิธีการออม และการลงทุนระยะยาว ซึ่งมีทางเลือกมากมาย

 

เคล็ดลับของความสำเร็จของการ “เกษียณรวย” คือ ต้องวางแผน และเริ่มทำตั้งแต่ก่อนเกษียณ ยิ่งเริ่มได้เร็ว ก็ยิ่งดี

 

หากดันไปเริ่มตอนหลังเกษียณแล้ว ไม่น่าจะทัน แต่น่าจะเป็นการ “เกษียณจน” มากกว่า “เกษียณรวย”

 

บทที่สิบทำให้ชีวิตมีรายได้หลายทาง

 

แต่หากท่านไม่ต้องการแค่ “เกษียณรวย” แต่ต้องการ “เกษียณเร็ว” คือ แบบว่า ไม่ต้องรอจนอายุ 60 ปี แล้วจึงเกษียณ ท่านต้องมีหลายได้จากหลายๆ แหล่ง เพื่อให้ท่านมีสภาพคล่อง และความมั่งคั่งมากพอ ที่จะเกษียณก่อนกำหนด

.

คำว่าแหล่งรายได้หลายทาง ก็คือ รายได้อื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานประจำ เช่น ทำธุรกิจเสริม เช่น หาสินค้ามาขาย สร้างบริการต่างๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม

 

หรือ แม้กระทั่งสร้างสินทรัพย์ทางปัญญาขึ้นมา แล้วสร้างรายได้เสริมจากสิ่งเหล่านี้

 

สำหรับสินทรัพย์ทางปัญญา ได้แก่ การเปลี่ยน 4 สิ่งต่อไปนี้ ให้เป็นสินทรัพย์ทางปัญญา หนึ่ง ความรู้ และทักษะที่มี, สอง งาน งานอดิเรก หรือ ประสบการณ์ที่ผ่านมา, สาม การต่อยอดสายสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ท่านมีอยู่ และสี่ g-เข้าใจปัญหาของผู้อื่น แล้วสร้างวิธีการแก้ไขปัญหานั้น

 

หากท่านมีรายได้หลายๆ แหล่งแบบนี้ ท่านก็จะสามารถ “เกษียณเร็ว” ได้

 

บทที่สิบเอ็ดเรียนรู้วิธีใช้พลังทวี

 

การลงทุนโดยใช้พลังทวี คือ อะไร

 

มันคือ การใช้เงินของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์นั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น กู้เงินจากธนาคาร เพื่อมาซื้อบ้าน แล้วปล่อยบ้านให้เช่า รายได้ที่ได้มา ก็จะถูกใช้ผ่อนบ้าน และส่วนต่างที่เหลือก็จะเป็นเงินสะสม ของเรา ที่สามารถนำไปต่อยอดอย่างอื่นๆ ได้อีก

 

หรือ หาคนมาร่วมลงทุนในธุรกิจ แล้วแบ่งกำไรกัน

 

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินของคนอื่นๆ ที่ถือว่าเป็น “พลังทวี” นั้น ก็ต้องบวกลบคูณหารให้ดี เพราะหากทำพลาดอาจจะต้นหายกำไรหด และอาจจะเสียเพื่อนด้วย

 

บทที่สิบสองหัดพิมพ์เงินใช้เอง

 

การพิมพ์เงินใช้เอง มีนัยว่า การสร้างรายได้แบบ Passive income แบบว่า ลงทุนครั้งเดียว แล้วกินยาวอะไรประมาณนั้น

.

ยกตัวอย่างเช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล แล้วกินดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ หรือ ใช้เงินคนอื่นๆ มาทำธุรกิจ หรือ สร้างระบบธุรกิจ แล้วให้คนอื่นๆ ทำมา หรือ การกินค่าลิขสิทธิ์ เช่น งานเขียน งานเพลง และ content ในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม ดูแล้วไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ยากแต่อย่างใด แต่คนส่วนใหญ่มักทำไมได้ เนื่องจาก วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่ต้องใช้เวลานาน อดทน ต้องมีวินัย และที่สำคัญคนส่วนใหญ่มักจะตกอยู่ในบ่วงของการเป็นหนี้สิน ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะอดทนทำแบบนี้ ได้ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการหาเงินใช้หนี้

 

ผู้เขียนปิดท้าย บทนี้ ด้วยประโยคเด็ด “The Rich Don’t Work for Money” แปลเป็นไทยได้ความว่า “คนรวยไม่ได้ทำงานเพื่อให้ได้เงิน แต่ทำงานเพื่อสร้างทรัพย์สิน” 

 

บทที่สิบสามวางแผนรวยก่อนเกษียณ

 

ในบทนี้ ผู้เขียนขยายความ คำว่า “เกษียณเร็ว” ด้วยการนำเสนอ Model เกษียณเร็ว นั้นคือ Invest and Reinvest แปลเป็นไทย ก็คือ Invest หรือ ลงทุนด้วยการใช้เงินของชาวบ้าน อาทิเช่น กู้เงินธนาคารมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้กำไรส่วนต่างจากอสังหาริมทรัพย์, สร้างระบบธุรกิจ ที่สามารถให้คนอื่นนำไปต่อยอดได้, และ ค่าลิขสิทธิ์ จากสินทรัพย์ทางปัญญา ต่อจากนั้น นำเงินรายได้จากการ Invest ไป Reinvest ในการลงทุนอื่นๆ เพื่อต่อยอดสร้างรายได้

 

สำหรับ กลยุทธ์ Invest & Reinvest นี้จะต้องมีการวางแผน 4 ขั้นตอนด้วย โดยเริ่มต้นจาก ขั้นตอนที่หนึ่ง การกำหนดรูปแบบชีวิตหรือ Life Style ที่ต้องการ, ขั้นตอนที่สอง ประเมินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เกิดขึ้นจากรูปแบบชีวิต หรือ Life Style ที่กำหนด, ขั้นตอนที่สาม ตั้งเป้าหมายรายได้จากทรัพย์สิน และ ขั้นตอนที่สี่ นำข้อมูลจากขั้นตอนที่หนึ่ง, สอง และ สามมาวางแผน แล้วก็ลงมือทำให้มันเป็นจริง

 

บทที่สิบสี่ชีวิตคนเป็นผลของการเลือก

 

ผู้เขียนขึ้นต้นบทนี้ ด้วยประโยค “ทุกครั้งที่มีรายได้เข้ากระเป๋า คุณเลือกจัดการกับมันอย่างไร”

 

ชีวิตของท่าน ชีวิตของผม จะมีสภาพคล่อง จะมีความมั่งคั่ง มากน้อยแค่ไหน หรือเป็นหนี้เป็นสิน ก็คืออยู่กับทางเลือกในการตอบคำถามข้างต้น นั่นคือ “เราจัดการกับเงินที่เข้ามาสู่กระเป๋าตังค์ของเราอย่างไร”

 

ผู้เขียนได้นำเสนอหลักคิดง่าย 2 ข้อ ในการจัดการกับเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่เข้ามาสู่กระเป๋าตังค์

 

ข้อแรก คือ ทุกครั้งที่ได้เงินมา เลือกจ่ายให้ตัวเองก่อน (ออมเงินก่อน)

และข้อสอง คือ ทุกครั้งที่เงินต้องออกนอกกระเป๋าตังค์ ต้องดูว่าเงินเหลือในกระเป๋าเท่าไหร่ (สภาพคล่อง)

 

คนที่คิดตามหลักคิดทั้งสอง แล้วจัดการเงินได้ดี รับรองรวยแน่ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเงินที่ออกไปในเพื่อตอบสนองในสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นอกจากนั้น ปล่อยให้เงินไหลออกนอกกระเป๋า โดยไม่สนใจว่าจะมีเงินติดกระเป๋าอยู่บ้างหรือไม่ รับรองจนทั้งชาติแน่นอน

 

บทที่สิบห้าการเงินส่วนบุคคล

 

ผู้เขียนจบบทสุดท้าย ด้วยการนำเสนอคุณสมบัติ 3 ประการของคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน คุณสมบัตินี้ ได้แก่

 

มีความรับผิดชอบทางการเงิน หมายถึง เข้าใจสถานการเงินของตนเองเป็นอย่างดี เห็นปัญหาทางการเงินที่ตนเองกำลังประสบอยู่ และสามารถบริหารจัดการ แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพื่อให้สถานทางการเงินของตนเองดีขึ้น

 

มีความรู้ทางการเงิน หมายถึง รู้จักการสร้างรายได้,​ การใช้จ่าย, การออม และ การลงทุน

 

มีวินัยทางการเงิน หมายถึง การนำความรู้ทางการเงินมากำหนดเป้าหมาย และวางแผนการเงินของตนเอง และปฏิบัติตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด

 

สรุป

 

ในบทสรุป ผู้เขียนได้สรุป 6 หลักสุขภาพการเงินที่ดี ได้แก่ หนึ่ง สภาพคล่องดี, สอง ปลดหนี้จน, สาม พร้อมชนความเสี่ยง, สี่ มีเสบียงสำรอง,​ ห้า สอดคล้องเกณฑ์ภาษี และ หก บั้นปลายมีทุนเกษียณ


Comment